ระบบการตลาดสินค้าเกษตรมีเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จากความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนไป จึงส่งผลให้การผลิตเปลี่ยนตามไปด้วย นอกจากนี้ยังมีสินค้าบางชนิดซึ่งต้องการรูปแบบการตลาดเฉพาะ เช่น สินค้ามีการเน่าเสียง่าย จึงต้องมีการพัฒนาระบบการผลิตและการตลาด หรือการปลูกเพื่อส่งให้ผู้ผลิตตามการสั่งซื้อล่วงหน้า (มีการหาตลาดก่อนเพาะปลูก) เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ทั้งทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

  • ผู้ขายวัตถุดิบ (Supply Chain) :: จะมั่นใจว่าสินค้ามีที่ระบายไม่ต้องเก็บไว้ในสต็อคจนเน่าเสีย
  • ผู้ที่ซื้อไปผลิตต่อ (Value Added) :: จะมั่นใจว่ามีวัตถุดิบมาผลิตสินค้าทันตามคำสั่งซื้อ

ปัจจัยทางธรรมชาติ

สภาพแวดล้อม (Environment)

  • อุณหภูมิ :: พืชส่วนใหญ่ไม่สามารถเติบโตได้หากอุณหภูมิไม่เหมาะสม หรือดินถูกแช่แข็งหรือน้ำท่วมเป็นเวลานานติดต่อกัน จึงส่งผลให้บางพื้นที่ไม่เหมาะสมแก่การเพาะปลูก
  • ฤดูเพาะปลูก :: พืชที่แตกต่างกันย่อมต้องการระยะรวมทั้งความเหมาะสมในการเพาะปลูกที่แตกต่างกัน
  • ระดับความสูง :: พืชแต่ละชนิดสามารถเติบโตได้ดีในระดับความสูงแตกต่างกัน และระดับความสูงใกล้เคียงกันมักมีสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึงกันด้วย เช่น ระดับความชื้น อุณหภูมิ และแร่ธาตุต่างๆ
  • ปริมาณน้ำฝน :: น้ำเป็นปัจจัยหลักในการเจริญเติบโตของพืช ยิ่งอุณหภูมิเฉลี่ยสูงเท่าไรปริมาณน้ำที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชก็จะยิ่งมีต้นทุนที่มากขึ้นเท่านั้น
  • ลม :: ลมสามารถทำลายพืชผล มีอิทธิพลต่อระดับความชื้น และยังเป็นสาเหตุของการพังทลายของหน้าดิน

ลักษณะและชนิดของดิน (Soil)

     ดินแต่ละประเภทเหมาะแก่การเพาะปลูกเพราะพืชต่างกัน ดินเหนียวที่มีการกักเก็บน้ำได้ดีเหมาะสมกับข้าวในขณะที่ดินปนทรายที่มีการระบายน้ำดีนั้นดีต่อผักราก จึงควรเลือกปลูกพืชให้เหมาะต่อสภาพดินในพื้นที่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงในการเพาะปลูก

ความลาดชันของพื้นที่ (Slope)

     ความลาดชันส่งผลโดยตรงต่อความชื้นของดิน และยังเป็นสาเหตุหลักของการพังทลายของหน้าดิน จึงมีการแก้ปัญหาการทำการเกษตรในพื้นที่ลาดชันด้วยการปรับระดับหน้าดินเป็นขั้นบันได เพื่อที่จะรักษาหน้าดินเอาไว้ในช่วงที่ฝนตกหนัก และมักมีสาเหตุจากพื้นที่การเกษตรไม่เพียงต่อต่อความต้องการของประชากรในพื้นที่ร่วมด้วย

ปัจจัยจากมนุษย์

การครอบครองที่ดิน (Land)

     ในประเทศที่พัฒนาแล้วเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเจ้าของที่ดิน ส่งผลให้มีแรงจูงใจที่จะเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการผลิตและการแปรรูปให้มากขึ้น มีการลงทุนวิจัยทางด้านการผลิต แต่ความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับตลาดและระบบการเมือง

ตลาด (Market)

     สำหรับการผู้ที่เพาะปลูกในเชิงพาณิชย์ จะต้องมีการปรับตัวตามสถานการณ์อยู่ตลอด เช่น หากความต้องการส้มในตลาดลดลงกำไรก็จะลดลง ส้มจะถูกแทนที่ด้วยพืชที่ตลาดกำลังต้องการเนื่องจากให้ผลกำไรดีกว่า โดยที่ราคาตลาดอาจมีผลมาจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • การเปลี่ยนแปลงในสังคม :: ผู้คนหันไปทานมังสวิรัติมากขึ้น หรือ ลดการบริโภคเนื้อวัว
  • เหตุผลด้านสุขภาพ :: ความต้องการน้ำมันมะกอก หรือ ความตื่นตระหนกเกี่ยวกับเชื้อที่แพร่ระบาด
  • ศาสนา :: ชาวยิวไม่กินเนื้อหมู
  • การตลาด :: แคมเปญที่ส่งเสริมผลิตภัณฑ์เช่นซีเรียลอาหารเช้าใหม่
  • ต้นทุนการเก็บรักษาและสูญหาย :: ของแต่ละสินค้ามีความแตกต่างกัน ซึ่งจะถูกคำนวนเข้าไปในราคาขาย

ขนส่ง (Transportation)

     การขนส่งเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดที่ตั้งของแหล่งเพาะปลูก หากผลิตภัณฑ์มีขนาดใหญ่หรือเน่าเสียง่าย ควรปลูกใกล้กับตลาดหรือโรงงานแปรรูป เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง

เทคโนโลยี (Technology)

เทคโนโลยีที่ใหม่กว่ามักจะเพิ่มประสิทธิภาพและผลตอบแทนที่มากกว่าเสมอ แต่เทคโนโลยีใหม่ๆย่อมมีราคาแพงด้วยเช่นกัน ผู้เพาะปลูกควรเลือกอุปกรณ์หรือเครื่องมือในการการเกษตรให้เหมาะสมต่อขนาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพทางการผลิต และความคุ้มค่าของเงินทุน

รัฐบาล (Government)

     นโยบายของรัฐบาลจะส่งผลผลต่อผู้ที่ทำการเกษตรไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม เช่น รัฐบาลคอมมิวนิสต์จะส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มกัน ในขณะที่การทำฟาร์มในโซนยุโรปจะถูกควบคุมโดยนโยบายทางการเกษตรของสหภาพยุโรป